ทีมฟุตบอล

ความเก็บกดของเชลซีในตลาดซื้อขายนักเตะ

เป็นที่รู้กันของแฟน ๆ สิงโตน้ำเงินครามเชลซีว่าในฤดูกาล 2019/2020 พวกเขาไม่สามารถซื้อนักเตะคนใดได้เลยในตลาดซื้อขายช่วงฤดูร้อน เนื่องจากการถูกคำสั่งแบนจากสมาคมฟุตบอลอย่างฟีฟ่าที่สั่งห้ามตลอดฤดูกาล ทำให้ปีก่อนพวกเขาสามารถเซ็นสัญญาได้เพียงมาเตโอ โควาซิชที่เจรจาไว้ก่อนจะมีคำสั่งและมีการขายนักเตะออกไปมากมายถึง 24 คนด้วยกัน จนในฤดูกาลที่ผ่านมาผู้จัดการทีมอย่างแฟรงค์ แลมพ์พาร์ดจะใช้บริการนักเตะเยาวชนเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังทำผลงานได้ดีจนจบอันดับที่ 4 ของตารางจนได้ไปลงแข่งยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงต้องเตรียมทีมครั้งใหญ่หลังจากที่สามารถซื้อนักเตะเข้ามาเสริมได้แล้วในปีนี้จนทำให้เชลซีกลับมาน่ากลัวอีกครั้ง การเซ็นสัญญานักเตะราคาแพงอีกครั้ง เป็นที่รู้กันในตลาดซื้อขายนักเตะว่าเชลซีมักจะซื้อนักเตะราคาแพงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นานโด ตอเรสจากลิเวอร์พูล อาวาโร่ โมราต้ากองหน้าจอมโหม่งจากรีลมาดริดหรือผู้รักษาประตูจอมดื้ออย่างเกป้า อาร์ริซาบาลาก้าที่มีค่าตัวสูงถึง 80 ล้านยูโรเลยทีเดียว ในฤดูกาล 2020 ก็เช่นกันทันทีที่แฟรงค์ แลมพ์พาร์ดมีโอกาสเลือกนักเตะคนใหม่เข้ามา เขาจึงได้ซื้อกองกลางตัวเก่งจากอาแจ๊ก อาร์มสเตอร์ดัมอย่างฮาคิม ซิเยกด้วยราคากว่า 33 ล้านปอนด์ อีกทั้งกองหน้าอย่างทิโม แวร์เนอร์ที่คู่แข่งอย่างลิเวอร์พูลหมายปองมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งเป็นสิงห์ไฮโซที่เดินเกมได้เร็วกว่าและปิดดีลของกองหน้าตัวความหวังของแอแบร์ ไลป์ซิกไปได้ในราคาสูงถึง 47.5 ล้านปอนด์เลยทีเดียว ก่อนที่เชลซีจะทำลายสถิติในตลาดซื้อขายครั้งนี้ของตัวเองด้วยการซื้อตัวอนาคตวัย 21 ปีอย่างไค ฮาร์เวิร์ตกองกลางจากไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่นไปด้วยราคา 70 ล้านปอนด์ในช่วงต้นเดือนกันยายน การเซ็นสัญญานักเตะไร้ค่าตัว นอกจากเชลซีจะสามารถซื้อนักเตะราคาสูงได้แล้วนั้น พวกเขายังไม่พลาดที่จะเจรจากับนักเตะไร้สังกัดอีกด้วย โดยนักเตะคนแรกที่พวกเขาได้มาแบบฟรี ๆ ก็คือกองหลังมากประสบการณ์อย่างธิเอโก้ ซิลวาจากศิษย์เก่าจากสโมสรปารีส …

การล่มสลายและเกิดใหม่ของวิมเบิลดัน

สำหรับแฟน ๆ พรีเมียร์ลีกรุ่นเก่าคงต้องรู้จักกับชื่อของทีมจอมโหดอย่างวิมเบิลดันอยู่แล้ว ด้วยสไตล์การลงเล่นที่เน้นการปะทะและลูกกลางอากาศจนทำให้ทีมมีแฟนบอลคอยติดตามอย่างเหนียวแน่น และเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในฮูลิแกนของวงการฟุตบอลอังกฤษเลยทีเดียว แต่ทว่าจากการตกชั้นของทีมและการย้ายเมืองของสโมสรทำให้ทีมจอมโหดได้แตกเป็นสองทีมด้วยกันอย่างเอ็มเค ดอนส์และเอเอฟซี วิมเบิลดัน แต่ทั้งสองยังคงพยายามรักษาความเป็นทีมเดิมอยู่และยังคงเป็นคู่รักคู่แค้นในลีกรองของอังกฤษจนถึงทุกวันนี้ ยุครุ่งเรืองของทีมจอมโหด ผลงานในช่วงกลางยุค 90 ของวิมเบิลดันถือว่าไม่ธรรมดา นอกจากที่พวกเขาจะเป็นสโมสรที่เคยมีนักเตะชื่อดังอย่างนีล ซูลิแวน, คาร์ล คอร์ดและวินนี่ โจนส์ที่เป็นกองกลางจอมโหดชื่อดังและเข้าวงการบันเทิงในเวลาต่อมา ตลอด 14 ปีที่พวกเขาอยู่ในลีกสูงสุดของอังกฤษนับตั้งแต่สมัยยังเป็นชื่อลีกวัน พวกเขาสามารถทำผลงานได้ดีในฟุตบอลถ้วยเสมอ จากการเข้ารอบรองชนะเลิศเอฟเอคัพในปี 1996/1997 ที่พวกเขาสามารถเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปในรอบที่ 4 ก่อนจะปราบทั้งควีนส์ ปาร์ค เรนเจอร์และเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์จนไปพลาดท่าแพ้เชลซีในรอบ 4 ทีมสุดท้ายในที่สุด ส่วนในถ้วยเล็กอย่างลีกคัพปีเดียวกัน พวกเขาก็ไปไม่ถึงฝันหลังจากที่แพ้ทีมร่วมลีกอย่างเลสเตอร์ ซิตี้ไปด้วยกฎประตูทีมเยือนแบบน่าเสียดาย การตกชั้นและยุบทีมในที่สุด หลังจากการจากไปของผู้จัดการทีมเก่าแก่อย่างโจ คินเนียร์เนื่องจากปัญหาสุขภาพ ทำให้ทีมวิมเบิลดันเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง หลังที่ทีมแต่งตั้งเอจิล โอเซ่นและเทอร์รี่ เบอร์ตันมาคุมทีมแทนในช่วงปี 1999/2000 ทีมจอมโหดก็หมดเวลาที่จะอยู่ในลีกสูงสุดต่อไป โดยทำแต้มไปได้เพียง 33 แต้มและมีคะแนนน้อยกว่าทีมแบรดฟอร์ดเพียง 3 คะแนนทั้ง ๆ ที่มีลูกได้เสียดีกว่าอีกด้วย จบฤดูกาลในอันดับที่ 18 เท่านั้น …

เอฟเวอร์ตันทีมม้ามืด ภายใต้การคุมของคาร์โล อันเชลอตติ

ในฤดูกาล 2020/2021 ที่กำลังจะถึงในอนาคตอันใกล้นี้ ถือว่าเป็นปีที่ลีกฟุตบอลอังกฤษอย่างพรีเมียร์ลีกมีความน่าติดตามอย่างมาก หลังจากที่ทีมอย่างลิเวอร์พูลสามารถก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์ได้สำเร็จแบบลอยลม ทำให้ทีมอื่น ๆ ในลีกสูงสุดต่าง ต้องการจะก้าวขึ้นมาแย่งชิงความเป็นที่หนึ่งอย่างที่หงส์แดงเคยทำได้แม้จะใช้เวลากว่า 30 ปีก็ตาม นอกจากทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้อดีตแชมป์ 4 สมัยหรือเชลซีที่เสริมทัพอย่างเก็บกดและได้มาทั้งไค ฮาร์เวิร์ตและทีโม แวร์เนอร์สองดาวเด่นจากลีกเยอรมันบุนเดสลีกา แต่มีทีมม้ามืดอีกหนึ่งทีมที่อาจทำให้แฟนประหลาดใจรวมถึงมีโอกาสทำอันดับเบียดพื้นที่ด้านบนตารางได้ และพวกเขาคือทีมเอฟเวอร์ตันที่มีผู้จัดการทีมมากประสบการณ์อย่างคาร์โล อันเชลอตตินั่นเอง ประวัติที่ยอดเยี่ยมของอันเช่ อดีตผู้จัดการทีมใหญ่อย่างเอซี มิลานคนนี้เรียกได้ว่ามีอาชีพที่ประสบความสำเร็จทั้งสมัยเป็นนักเตะและผู้จัดการทีม เริ่มต้นในปี 1983 ที่เขาได้แชมป์กัลโช่ ซีรีย์อากับโรม่า ก่อนที่ย้ายไปทีมปีศาจแดงดำที่เป็นช่วงรุ่งเรืองที่สุดเนื่องจากเขาสามารถพาทีมได้แชมป์ลีกถึง 2 สมัยพร้อมกับแชมป์ยุโรปอีก 2 สมัยด้วยกัน หลังจากที่อันเช่ประกาศแขวนสตั๊ดในปี 1992 เขาก็ได้เลือกเส้นทางเป็นผู้จัดการทีมก่อนจะมาอยู่ทีมเก่าอย่างปาร์ม่าและเอซี มิลานอีกครั้ง โดยเฉพาะกับทีมหลังที่เขาคุมทีมนานถึง 8 ปีเต็ม ซึ่งเขาประสบความสำเร็จอย่างมากได้แชมป์สกูเน็ตโต้ 1 สมัยและยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกถึง 2 สมัยนับว่าเป็นคนที่ทีมเป็นแชมป์ในฐานะผู้เล่นและผู้จัดการเพียงไม่กี่คนในประวัติศาสตร์ที่ทำได้ ก่อนที่เขาจะเลือกเส้นทางไปคุมทีมเชลซีจนได้แชมป์พรีเมียร์ลีกและสโมสรรีล มาดริดที่ทำให้เขาได้แชมป์ถ้วยโตจากยุโรปอีกครั้งหนึ่ง การมาที่เอฟเวอร์ตัน หลังจากที่เขาใช้เวลาอยู่กับทีมบาเยิร์น มิวนิคเพียงหนึ่งปีเศษ อันเชลอตติก็ได้ย้ายข้ามฝั่งกลับไปอยู่กับสโมสรบ้านเกิดที่อิตาลีและกลายเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของนาโปลี แม้ว่าเขาจะสามารถพาทีมเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ก็ตาม แต่ประธานสโมสรอย่างออเรลิโอ …

ย้อนหลังสาเหตุการทำแชมป์ลื่นหลุดของลิเวอร์พูลในปี 2013/2014

ว่ากันว่าความสำเร็จมักจะต้องรอนานเสมอ และไม่มีใครจดจำผู้เป็นที่สองได้ แต่นั่นใช้ไม่ได้กับทีมลิเวอร์พูลภายใต้การนำทีมของเบรนเดน รอดเจอร์สที่ใช้ระบบการเล่นต่อบอลสวยงามและทำเกมรุกที่เฉียบคมจนทำให้ทีมสามารถทำประตูไปได้มากถึง 101 ลูกจากกองหน้าสามประสานของทีม แต่ถึงแม้พวกเขาจะมีสถิติเกมรุกที่ดีเยี่ยมก็ตาม แต่สุดท้ายพวกเขากลับเป็นได้แค่รองแชมป์อย่างน่าเจ็บใจ รวมทั้งพวกเขายังคงเป็นที่พูดถึงจากบรรดาแฟนบอลทีมอื่นจากเหตุการณ์ที่หงส์แดงเจอกับเชลซีช่วงท้ายฤดูกาล จนเป็นบาดแผลครั้งใหญ่ที่ต้องใช้เวลาอีก 6 ปีเพื่อลืมความฝันร้ายครั้งนี้เลยทีเดียว การก่อกำเนิดเกมรุกที่ยอดเยี่ยม ด้วยความที่รอดเจอร์สเป็นผู้จัดการที่เน้นเกมบุกเป็นหลัก ตั้งแต่สมัยที่เขายังอยู่กับหงส์ขาวสวอนซีจากเวลส์ โดยรูปแบบการเล่นของเขาถือว่าใกล้เคียงกับตีกี-ตากาของเป็ป กวาดิโอล่าเลยทีเดียว จากการต่อบอลที่แม่นยำภายใต้การคุมเกมของสตีเฟ่น เจอร์ราดและฟิลิเป้ คูตินโญ่จากแดนกลางนี่เองที่ส่งต่อให้กองหน้าอย่างหลุยส์ ซัวเรซและเดเนียล สเตอร์ริดจ์สามารถทำประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำรวมถึงดางรุ่งอย่างราฮีม สเตียร์ลิ่งที่ทำประตูได้ถึง 10 ประตูด้วย รวมถึงแถวสองอย่างโฆเซ่ เอนริเก้และเกล็น จอห์นสันที่พร้อมจะเป็นไม้ตายลับให้กับทีมเสมอ สองนัดกับ 5 คะแนนที่หายไป แม้ว่าลิเวอร์พูลจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอยู่อันดับ 2 ในตาราง แต่ทว่าในช่วงท้ายฤดูกาล 2013/2014 พวกเขาเริ่มมีแรงฮึดขึ้นมา ก่อนที่จะเปิดบ้านเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ทีมอันดับหนึ่งในขณะนั้นด้วยสกอร์ 3-2 จนกลายเป็นจ่าฝูงแทนและพวกเขามีแต้มเหนือทีมเรือใบสีฟ้าถึง 4 แต้ม และเหลือเกมให้เล่นเพียง 4 เกมเท่านั้น แต่ทว่าจุดหักเหของทีมหงส์แดงก็เกิดขึ้นเมื่อจังหวะเติมขึ้นสูงของทีมในเกมเชลซีและจังหวะที่ผิดพลาดของสตีเฟ่น เจอร์ราดจับบอลพลาดจนเดมบ้า บากองหน้าของเชลซีตัดบอลเข้าไปทำประตู ก่อนที่พวกเขาจะแพ้ไปในสกอร์ 2-0 แม้ว่าพวกเขาจะยังสามารถเป็นจ่าฝูงหลังการพ่ายแพ้ก็ตาม แต่ด้วยความกดดันที่พวกเขาต้องการทำประตูให้เยอะที่สุด จึงทำให้พวกเขาพลาดโดนคริสตัล พาเลซตีเสมอในสกอร์ …

ความพ่ายแพ้ของบาร์เซโลน่า ฤดูกาล 2019 ที่น่าผิดหวัง

สำหรับชาวคาตาลันแล้ว ฤดูกาล 2019/2020 ถือเป็นช่วงที่พวกเขาคงรู้สึกผิดหวังกับทีมรักอย่างบาร์เซโลน่าเป็นที่สุด หลังจากที่สโมสรเจ้าของฉายาเจ้าบุญทุ่มไม่สามารถคว้าถ้วยรางวัลใด ๆ มาประดับตู้ได้เลย ภายใต้การนำทีมของเออร์เนสโต้ บัลเบอร์เด้และกีเก้ เซเตียนที่ไม่ประสบความสำเร็จจนมีข่าวลือออกมาว่านักเตะชื่อดังหลายคนไม่พอใจกับการบริหารทีม ก่อนจะต้องการออกไปจากรังคัมนูนี้อย่างถาวร ไม่เว้นแม้แต่ลีโอเนล เมสซี่นักเตะลูกหม้อของทีมที่ไม่พอใจในตัวประธานอย่างโจเซป บาร์โตเมวอย่างมาก และอาจไม่อยู่กับสโมสรต่อไปจนจบอาชีพเหมือนกับตำนานคนอื่น ๆ ก่อนหน้าเขา ผลงานในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกที่ไม่ถึงฝัน แม้ว่าบาร์เซโลน่าจะมีช่วงผลงานที่ดีในรายการใหญ่ที่สุดในยุโรปอย่างยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกในช่วงที่พวกเขามีกุนซืออย่างเป็ป กวาดิโอล่าเป็นผู้นำในปี 2008 ถึง 2012 แต่หลังจากนั้นบาร์ซ่ากลับไปไม่ถึงฝั่งฝันอยู่บ่อยครั้ง และมักจะพลาดท่าที่รอบรองชนะเลิศเสมอ ทางด้านฤดูกาลที่ผ่านมาพวกเขาสามารถเป็นผู้นำในรอบแบ่งกลุ่มได้เหนือทีมอย่างโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ อินเตอร์มิลานและสลาเวีย ปรากไปได้ ก่อนที่บาร์เซโลน่าจะไปเจอกับนาโปลีและเอาชนะไปได้แบบไม่ยากเย็นนัก ทว่าในรอบ 8 ทีมสุดท้ายพวกเขาต้องไปเจอของแข็งอย่างเสือใต้บาเยิร์น มิวนิค ก่อนที่พวกเขาจะพ่ายแพ้ไปแบบหมดรูปในสกอร์ 8-2 นับว่าเป็นการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์รายการนี้เลยทีเดียว การถูกแซงหน้าโดยคู่แข่งตลอดกาล หลังจากที่สามารถครองอันดับหนึ่งมาได้ตลอดก่อนที่ฤดูกาลจะดูระงับไปชั่วคราวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนกระทั่งทางลาลีกาจะกลับมาแข่งขันอีกครั้ง แต่บาร์เซโลน่ากลับพลาดท่าทำคะแนนหกไปหลายเกม ไม่ว่าจะเป็นการเสมอกับเซบีย่าไปแบบไร้สกอร์ ก่อนที่จะพลาดเสมอกับเซลต้า บีโก้อีกครั้งในเกมที่ 2 ประตูของหลุยส์ ซัวเรซไม่เพียงพอต่อการคว้าสามคะแนน จนกระทั่งในแมตช์รองสุดท้ายของลีกที่พวกเขาแพ้คาบ้านให้แก่โอซาซูน่าจนเปิดทางให้รีล มาดริดที่เอาชนะบียารีลไปได้ 2-1 คว้าแชมป์ลีกไปได้เป็นครั้งที่ 34 ของสโมสร …