Month: November 2020

ชีวิตที่น่าผิดหวังของอดีตกองหน้า เอเดรียน มูตู

หากใครเคยเล่นเกมฟุตบอลอย่างวินนิ่งหรือฟีฟ่า คงต้องรู้จักสุดยอดกองหน้าแห่งยุค 2000 อย่างเอเดรียน มูตูอย่างแน่นอน ด้วยสไตล์การเล่นที่ฉลาด ทักษะและการอ่านเกมของเขาทำให้กลายเป็นดาวเด่นในลีกกัลโช่ ซีรีย์อาของประเทศอิตาลีและเป็นที่จับตามองในบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ของยุโรป แต่ทว่าด้วยความประพฤติของเขาเองทำให้ชีวิตนักเตะชาวโรมาเนียนี้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร รวมทั้งต้องขึ้นโรงขึ้นศาลและย้ายทีมเป็นว่าเล่น จนกลายเป็นเรื่องน่าเสียดายของวงการฟุตบอลที่กองหน้าพรสวรรค์สูงคนนี้ไม่อาจไปถึงดวงดาวได้อย่างที่หลายคนคาดการณ์ไว้ ก้าวสู่จุดสูงสุดในชีวิต หลังจากที่เริ่มเล่นฟุตบอลในทีมอาร์เกสที่ประเทศบ้านเกิด เอเดรียน มูตูได้ย้ายมาสู่ทีมอินเตอร์ มิลานก่อนที่เวโรน่าจะขอซื้อตัวกองหน้าคนนี้แบบการถือสัญญาคู่กับทีมต้นสังกัด ก่อนที่จะช่วยให้ทีมรอดพ้นการตกชั้นไปได้ในที่สุดและทำให้เวโรน่าขอซื้อตัวมาอย่างถาวร หลังจากนั้นเพียงหนึ่งฤดูกาลเท่านั้นมูตูก็ย้ายไปร่วมทีมเก่งในอดีตอย่างปาร์ม่า ซึ่งเป็นช่วงที่เขาได้ร่วมงานกับนักเตะอย่างอาเดรียโน่และฮิเดะโตชิ นากาตะ จนโชว์ฟอร์มเก่งสามารถทำประตูไปได้ถึง 22 ลูกในหนึ่งฤดูกาล ก่อนที่สโมสรยักษ์ใหญ่จากเกาะอังกฤษอย่างเชลซีจะมาขอซื้อตัวเขาไปด้วยราคา 15.8 ล้านปอนด์ด้วยกัน แต่นั่นคือจุดเปลี่ยนในอาชีพค้าแข้งของเขาในเวลาต่อมา การใช้ชีวิตที่ผิดพลาดของมูตู จุดหักเหของเขาเริ่มต้นจากการเข้ามาคุมทีมของโชเซ่ มูรินโญ่ที่เป็นผู้จัดการทีมเจ้าระเบียบคนหนึ่ง และการบาดหมางระหว่างมูตูกับเขาเกิดขึ้นครั้งแรก หลังจากที่มูรินโญ่ไม่เชื่อว่ากองหน้าชาวโรมาเนียคนนี้มีอาการบาดเจ็บจริง ๆ ในช่วงฟุตบอลโลก จนกระทั่งในเดือนกันยายนที่มูตูได้รับการตรวจสารเสพย์ติดและพบว่าเขาเสพย์โคเคนจนถูกแบนยาวถึง 7 เดือนด้วยกัน และเหตุนี้เองทำให้สโมสรได้ฟ้องร้องค่าเสียหายถึง 17 ล้านยูโรและยังเป็นเรื่องราวในศาลจนถึงปัจจุบัน หลังจากที่เขาออกจากเชลซี ทางมูตูก็ได้ย้ายไปร่วมทีมใหญ่มากมายทั้งยูเวนตุสและฟิออเรนติน่าจนอนาคตของเขาเริ่มกลับมาสดใสอีกครั้ง จนกระทั่งปี 2011 ที่เขาไม่ผ่านการตรวจสารกระตุ้นจนถูกแบนไปอีกถึง 6 เดือนด้วยกัน รวมถึงโดยแบนจากทีมชาติตัวเองหลังจากที่มีคนพบว่าเขาไปนั่งดื่มแอลกอฮอล์กับเพื่อนร่วมชาติอย่างเกเบรียล ทามาสในขณะที่ทีมชาติโรมาเนียกำลังลงแข่งขันอยู่นั่นเอง เป็นเรื่องน่าเสียดายที่นักเตะอย่างเอเดรียน มูตูไม่สามารถไปถึงดวงดาวอย่างที่ควรจะเป็น แม้ว่าเขาจะมีชื่ออยู่ในทีมแชมป์กัลโช่ ซีรีย์อาในปี 2005 และ …

ความเก็บกดของเชลซีในตลาดซื้อขายนักเตะ

เป็นที่รู้กันของแฟน ๆ สิงโตน้ำเงินครามเชลซีว่าในฤดูกาล 2019/2020 พวกเขาไม่สามารถซื้อนักเตะคนใดได้เลยในตลาดซื้อขายช่วงฤดูร้อน เนื่องจากการถูกคำสั่งแบนจากสมาคมฟุตบอลอย่างฟีฟ่าที่สั่งห้ามตลอดฤดูกาล ทำให้ปีก่อนพวกเขาสามารถเซ็นสัญญาได้เพียงมาเตโอ โควาซิชที่เจรจาไว้ก่อนจะมีคำสั่งและมีการขายนักเตะออกไปมากมายถึง 24 คนด้วยกัน จนในฤดูกาลที่ผ่านมาผู้จัดการทีมอย่างแฟรงค์ แลมพ์พาร์ดจะใช้บริการนักเตะเยาวชนเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังทำผลงานได้ดีจนจบอันดับที่ 4 ของตารางจนได้ไปลงแข่งยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงต้องเตรียมทีมครั้งใหญ่หลังจากที่สามารถซื้อนักเตะเข้ามาเสริมได้แล้วในปีนี้จนทำให้เชลซีกลับมาน่ากลัวอีกครั้ง การเซ็นสัญญานักเตะราคาแพงอีกครั้ง เป็นที่รู้กันในตลาดซื้อขายนักเตะว่าเชลซีมักจะซื้อนักเตะราคาแพงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นานโด ตอเรสจากลิเวอร์พูล อาวาโร่ โมราต้ากองหน้าจอมโหม่งจากรีลมาดริดหรือผู้รักษาประตูจอมดื้ออย่างเกป้า อาร์ริซาบาลาก้าที่มีค่าตัวสูงถึง 80 ล้านยูโรเลยทีเดียว ในฤดูกาล 2020 ก็เช่นกันทันทีที่แฟรงค์ แลมพ์พาร์ดมีโอกาสเลือกนักเตะคนใหม่เข้ามา เขาจึงได้ซื้อกองกลางตัวเก่งจากอาแจ๊ก อาร์มสเตอร์ดัมอย่างฮาคิม ซิเยกด้วยราคากว่า 33 ล้านปอนด์ อีกทั้งกองหน้าอย่างทิโม แวร์เนอร์ที่คู่แข่งอย่างลิเวอร์พูลหมายปองมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งเป็นสิงห์ไฮโซที่เดินเกมได้เร็วกว่าและปิดดีลของกองหน้าตัวความหวังของแอแบร์ ไลป์ซิกไปได้ในราคาสูงถึง 47.5 ล้านปอนด์เลยทีเดียว ก่อนที่เชลซีจะทำลายสถิติในตลาดซื้อขายครั้งนี้ของตัวเองด้วยการซื้อตัวอนาคตวัย 21 ปีอย่างไค ฮาร์เวิร์ตกองกลางจากไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่นไปด้วยราคา 70 ล้านปอนด์ในช่วงต้นเดือนกันยายน การเซ็นสัญญานักเตะไร้ค่าตัว นอกจากเชลซีจะสามารถซื้อนักเตะราคาสูงได้แล้วนั้น พวกเขายังไม่พลาดที่จะเจรจากับนักเตะไร้สังกัดอีกด้วย โดยนักเตะคนแรกที่พวกเขาได้มาแบบฟรี ๆ ก็คือกองหลังมากประสบการณ์อย่างธิเอโก้ ซิลวาจากศิษย์เก่าจากสโมสรปารีส …

เรื่องที่แม้แต่พระเจ้ายังต้องพ่ายแพ้ของอิมบราฮิโมวิ

ขึ้นชื่อว่าเป็นสุดยอดนักเตะอีกคนหนึ่งของวงการ กองหน้าทีมชาติสวีเดนอย่างซลาตัน อิบราฮิโมวิชมักจะมีประวัติและอาชีพค้าแข้งที่ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะการประสบความสำเร็จในทุกสโมสรที่เขาได้ไปลงเล่นให้ไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศสเปน เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ อิตาลีและแม้แต่ในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีรูปแบบการแข่งขันแตกต่างจากยุโรป ซึ่งซลาตันมักจะมีรางวัลต่าง ๆ ประดับตัวเสมอ แต่ทว่าตลอดอาชีพค้าแข้งของเขากลับมีหนึ่งรายการเขาไม่เคยได้สัมผัสเลยสักครั้ง จนเรียกได้ว่ามันคือหลุมดำในอาชีพค้าแข้งของเขานั่นเอง ความสำเร็จกับทุกสโมสร       ฉายาพระเจ้าของเขาถือว่าไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยหลังจากที่อิบราฮิโมวิชได้เริ่มลงเล่นกับอาแจ๊กซ์ อาร์มสเตอร์ดัมก่อนที่จะคว้าแชมป์ลีกได้ถึง 2 สมัยจากการลงเล่นที่นั่นเพียง 4  ปีโดยทำประตูได้ถึง 48 ลูกด้วยกัน จากผลงานที่ร้อนแรงนี่เองทำให้ยักษ์ใหญ่จากอิตาลีอย่างยูเวนตุสซื้อเขาไปร่วมทีมในราคา 16 ล้านยูโรก่อนจะตอบแทนทีมด้วยการพาเจ้าม้าลายเป็นแชมป์ลีกถึงสองปีซ้อน แต่หลังจากมีเหตุการณ์คอร์รัปชั่นของยูเวนตุสทำให้เขาได้แยกทางกับทีมไปอยู่อินเตอร์ มิลานแทน ซึ่งนั่นเป็นยุครุ่งเรืองของอินเตอร์ที่กลายเป็นผู้นำในลีกแทนพร้อมกับคว้าแชมป์กัลโช่ ซีรีย์อาได้อีก 3 สมัย ก่อนจะออกไปร่วมทีมในฝันของเขาอย่างบาร์เซโลน่าและคว้าแชมป์ลาลีกาได้อีกสมัย และไปเป็นกำลังสำคัญให้กับปารีส แซงต์แชร์แมงในเวลาต่อมา หลุมดำของชีวิตค้าแข้ง แม้ว่าอิบราฮิโมวิชจะพาสโมสรคว้าแชมป์ลีกสูงสุดและแชมป์ถ้วยภายในประเทศมานับไม่ถ้วน แต่ทว่าสิ่งที่เขาไม่เคยสัมผัสเลยก็คือแชมป์ถ้วยใหญ่อย่างยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีกนั่นเอง โดยเขามีโอกาสมากมายไม่ว่าจะเป็นสมัยอยู่กับอินเตอร์ มิลานที่พวกเขาทำได้เพียงเข้ารอบ 16  ทีมสุดท้ายก่อนจะพ่ายแพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในปี 2009 หรือจะเป็นการตกรอบด้วยทีมเก่าของเขาในช่วงที่เขาเพิ่งย้ายมาอยู่ทีมบาร์เซโลน่าในรอบรองชนะเลิศ อีกทั้งการลงเล่นให้กับปารีส แชงต์แชร์แมงที่เขาไม่เคยไปถึงรอบชิงชนะเลิศเลยสักครั้งในตลอดเวลา 4  ปีกับสโมสรแห่งนี้ นอกจากรายการแชมป์เปี้ยนส์ลีกแล้ว อีกหนึ่งหลุมดำของชีวิตเขาก็คือการไม่ประสบความสำเร็จในนามทีมชาติสวีเดนเลย แม้ว่าในทีมของเขาจะมีนักเตะดี ๆ อย่างเฟรดดี้ ลุงเบิร์กหรือเฮนริก ลาร์สันก็ตาม …

การล่มสลายและเกิดใหม่ของวิมเบิลดัน

สำหรับแฟน ๆ พรีเมียร์ลีกรุ่นเก่าคงต้องรู้จักกับชื่อของทีมจอมโหดอย่างวิมเบิลดันอยู่แล้ว ด้วยสไตล์การลงเล่นที่เน้นการปะทะและลูกกลางอากาศจนทำให้ทีมมีแฟนบอลคอยติดตามอย่างเหนียวแน่น และเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในฮูลิแกนของวงการฟุตบอลอังกฤษเลยทีเดียว แต่ทว่าจากการตกชั้นของทีมและการย้ายเมืองของสโมสรทำให้ทีมจอมโหดได้แตกเป็นสองทีมด้วยกันอย่างเอ็มเค ดอนส์และเอเอฟซี วิมเบิลดัน แต่ทั้งสองยังคงพยายามรักษาความเป็นทีมเดิมอยู่และยังคงเป็นคู่รักคู่แค้นในลีกรองของอังกฤษจนถึงทุกวันนี้ ยุครุ่งเรืองของทีมจอมโหด ผลงานในช่วงกลางยุค 90 ของวิมเบิลดันถือว่าไม่ธรรมดา นอกจากที่พวกเขาจะเป็นสโมสรที่เคยมีนักเตะชื่อดังอย่างนีล ซูลิแวน, คาร์ล คอร์ดและวินนี่ โจนส์ที่เป็นกองกลางจอมโหดชื่อดังและเข้าวงการบันเทิงในเวลาต่อมา ตลอด 14 ปีที่พวกเขาอยู่ในลีกสูงสุดของอังกฤษนับตั้งแต่สมัยยังเป็นชื่อลีกวัน พวกเขาสามารถทำผลงานได้ดีในฟุตบอลถ้วยเสมอ จากการเข้ารอบรองชนะเลิศเอฟเอคัพในปี 1996/1997 ที่พวกเขาสามารถเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปในรอบที่ 4 ก่อนจะปราบทั้งควีนส์ ปาร์ค เรนเจอร์และเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์จนไปพลาดท่าแพ้เชลซีในรอบ 4 ทีมสุดท้ายในที่สุด ส่วนในถ้วยเล็กอย่างลีกคัพปีเดียวกัน พวกเขาก็ไปไม่ถึงฝันหลังจากที่แพ้ทีมร่วมลีกอย่างเลสเตอร์ ซิตี้ไปด้วยกฎประตูทีมเยือนแบบน่าเสียดาย การตกชั้นและยุบทีมในที่สุด หลังจากการจากไปของผู้จัดการทีมเก่าแก่อย่างโจ คินเนียร์เนื่องจากปัญหาสุขภาพ ทำให้ทีมวิมเบิลดันเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง หลังที่ทีมแต่งตั้งเอจิล โอเซ่นและเทอร์รี่ เบอร์ตันมาคุมทีมแทนในช่วงปี 1999/2000 ทีมจอมโหดก็หมดเวลาที่จะอยู่ในลีกสูงสุดต่อไป โดยทำแต้มไปได้เพียง 33 แต้มและมีคะแนนน้อยกว่าทีมแบรดฟอร์ดเพียง 3 คะแนนทั้ง ๆ ที่มีลูกได้เสียดีกว่าอีกด้วย จบฤดูกาลในอันดับที่ 18 เท่านั้น …