รุด ฟาน นิสเตอรอยด์ กองหน้าสุดคมตำนานชาวดัตช์

หากย้อนไปในช่วงเปลี่ยนผ่านของพรีเมียร์ลีกที่ความยิ่งใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเริ่มถูกตัดแบ่งให้กับทีมปืนใหญ่อาร์เซน่อลและเชลซี แต่ทว่าในช่วง 5 ปีนั้นถือเป็นปีที่ทีมปีศาจแดงมีกองหน้าตัวเก่งจากฮอลแลนด์ที่ชื่อว่ารุด ฟาน นิสเตอรอยด์ ซึ่งเป็นนักเตะคนสำคัญของทีม ก่อนที่เขาจะมีโอกาสย้ายไปสโมสรรีล มาดริดและจบอาชีพที่สเปนนั่นเอง โดยตลอดอาชีพของเขาได้ทำประตูไปถึง 349 ลูกจากการเล่นทั้งหมด 592 นัดกับทุกสโมสรที่ผ่านมา รวมถึงการลงเล่นกับทีมชาติอัศวินสีส้มเนเธอร์แลนด์ ที่เขาก็โชว์ฟอร์มผลงานได้ดีเช่นเดียวกันแม้ว่าจะไม่เคยคว้ารางวัล ๆ ให้กับทีมเลยก็ตาม กองหน้าผู้คว้าแชมป์สามลีกใหญ่ จุดเริ่มต้นของอาชีพนักเตะชาวดัตช์คนนี้เกิดจากสโมสรเล็ก ๆ อย่างเดน บอสช์ ก่อนจะไปประสบความสำเร็จในลีกสูงสุดของประเทศเนเธอร์แลนด์กับทีมเฮเรนวีนและพีเอสวี ไฮด์โอเฟ่นที่เขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ได้สองสมัย โดยทำประตูไปถึง 77 ลูกจากการลงเล่นเพียง 90 นัดเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เองทำให้เขาเป็นที่หมายปองของทีมดังทั่วยุโรปก่อนที่จะเป็นทางเซอร์อเล็ก เฟอร์กูสันที่คว้าตัวฟาน นิสเตอรอยด์มาสู่รังโอลด์ แทรฟฟอร์ดด้วยค่าตัว 19 ล้านปอนด์ ผลงานของรุดกับสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดถือเป็นจุดสูงสุดของอาชีพเขา หลังจากที่เขากลายเป็นนักเตะคนสำคัญของทีมทันทีที่ย้ายมาสู่รังปีศาจ ก่อนที่เขาจะกลายเป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของศึกพรีเมียร์ลีกในปี 2001/2002 และสามารถพาทีมเป็นแชมป์ลีกเหนือคู่ปรับอย่างอาร์เซน่อลไปได้ในปี 2003 พร้อมตำแหน่งดาวซัลโวประจำฤดูกาล น่าเสียดายที่การแข่งขันในพรีเมียร์ลีกขณะนั้นมีความเข้มข้นสูง โดยเฉพาะทีมเชลซีที่ไต่เต้าขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่ในเกาะอังกฤษเนื่องจากการเข้ามาบริหารของโรมัน อัมบราโมวิชนั่นเอง ทำให้รุดมีโอกาสคว้าแชมป์ลีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากใช้เวลาอยู่กับแมนยูนานถึง 5 ฤดูกาล ฟาน นิสเตอรอยด์ได้ออกไปหาความท้าทายใหม่กับทีมเจ้ายุโรปอย่างรีล มาดริด …

ชีวิตที่น่าผิดหวังของอดีตกองหน้า เอเดรียน มูตู

หากใครเคยเล่นเกมฟุตบอลอย่างวินนิ่งหรือฟีฟ่า คงต้องรู้จักสุดยอดกองหน้าแห่งยุค 2000 อย่างเอเดรียน มูตูอย่างแน่นอน ด้วยสไตล์การเล่นที่ฉลาด ทักษะและการอ่านเกมของเขาทำให้กลายเป็นดาวเด่นในลีกกัลโช่ ซีรีย์อาของประเทศอิตาลีและเป็นที่จับตามองในบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ของยุโรป แต่ทว่าด้วยความประพฤติของเขาเองทำให้ชีวิตนักเตะชาวโรมาเนียนี้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร รวมทั้งต้องขึ้นโรงขึ้นศาลและย้ายทีมเป็นว่าเล่น จนกลายเป็นเรื่องน่าเสียดายของวงการฟุตบอลที่กองหน้าพรสวรรค์สูงคนนี้ไม่อาจไปถึงดวงดาวได้อย่างที่หลายคนคาดการณ์ไว้ ก้าวสู่จุดสูงสุดในชีวิต หลังจากที่เริ่มเล่นฟุตบอลในทีมอาร์เกสที่ประเทศบ้านเกิด เอเดรียน มูตูได้ย้ายมาสู่ทีมอินเตอร์ มิลานก่อนที่เวโรน่าจะขอซื้อตัวกองหน้าคนนี้แบบการถือสัญญาคู่กับทีมต้นสังกัด ก่อนที่จะช่วยให้ทีมรอดพ้นการตกชั้นไปได้ในที่สุดและทำให้เวโรน่าขอซื้อตัวมาอย่างถาวร หลังจากนั้นเพียงหนึ่งฤดูกาลเท่านั้นมูตูก็ย้ายไปร่วมทีมเก่งในอดีตอย่างปาร์ม่า ซึ่งเป็นช่วงที่เขาได้ร่วมงานกับนักเตะอย่างอาเดรียโน่และฮิเดะโตชิ นากาตะ จนโชว์ฟอร์มเก่งสามารถทำประตูไปได้ถึง 22 ลูกในหนึ่งฤดูกาล ก่อนที่สโมสรยักษ์ใหญ่จากเกาะอังกฤษอย่างเชลซีจะมาขอซื้อตัวเขาไปด้วยราคา 15.8 ล้านปอนด์ด้วยกัน แต่นั่นคือจุดเปลี่ยนในอาชีพค้าแข้งของเขาในเวลาต่อมา การใช้ชีวิตที่ผิดพลาดของมูตู จุดหักเหของเขาเริ่มต้นจากการเข้ามาคุมทีมของโชเซ่ มูรินโญ่ที่เป็นผู้จัดการทีมเจ้าระเบียบคนหนึ่ง และการบาดหมางระหว่างมูตูกับเขาเกิดขึ้นครั้งแรก หลังจากที่มูรินโญ่ไม่เชื่อว่ากองหน้าชาวโรมาเนียคนนี้มีอาการบาดเจ็บจริง ๆ ในช่วงฟุตบอลโลก จนกระทั่งในเดือนกันยายนที่มูตูได้รับการตรวจสารเสพย์ติดและพบว่าเขาเสพย์โคเคนจนถูกแบนยาวถึง 7 เดือนด้วยกัน และเหตุนี้เองทำให้สโมสรได้ฟ้องร้องค่าเสียหายถึง 17 ล้านยูโรและยังเป็นเรื่องราวในศาลจนถึงปัจจุบัน หลังจากที่เขาออกจากเชลซี ทางมูตูก็ได้ย้ายไปร่วมทีมใหญ่มากมายทั้งยูเวนตุสและฟิออเรนติน่าจนอนาคตของเขาเริ่มกลับมาสดใสอีกครั้ง จนกระทั่งปี 2011 ที่เขาไม่ผ่านการตรวจสารกระตุ้นจนถูกแบนไปอีกถึง 6 เดือนด้วยกัน รวมถึงโดยแบนจากทีมชาติตัวเองหลังจากที่มีคนพบว่าเขาไปนั่งดื่มแอลกอฮอล์กับเพื่อนร่วมชาติอย่างเกเบรียล ทามาสในขณะที่ทีมชาติโรมาเนียกำลังลงแข่งขันอยู่นั่นเอง เป็นเรื่องน่าเสียดายที่นักเตะอย่างเอเดรียน มูตูไม่สามารถไปถึงดวงดาวอย่างที่ควรจะเป็น แม้ว่าเขาจะมีชื่ออยู่ในทีมแชมป์กัลโช่ ซีรีย์อาในปี 2005 และ …

ความเก็บกดของเชลซีในตลาดซื้อขายนักเตะ

เป็นที่รู้กันของแฟน ๆ สิงโตน้ำเงินครามเชลซีว่าในฤดูกาล 2019/2020 พวกเขาไม่สามารถซื้อนักเตะคนใดได้เลยในตลาดซื้อขายช่วงฤดูร้อน เนื่องจากการถูกคำสั่งแบนจากสมาคมฟุตบอลอย่างฟีฟ่าที่สั่งห้ามตลอดฤดูกาล ทำให้ปีก่อนพวกเขาสามารถเซ็นสัญญาได้เพียงมาเตโอ โควาซิชที่เจรจาไว้ก่อนจะมีคำสั่งและมีการขายนักเตะออกไปมากมายถึง 24 คนด้วยกัน จนในฤดูกาลที่ผ่านมาผู้จัดการทีมอย่างแฟรงค์ แลมพ์พาร์ดจะใช้บริการนักเตะเยาวชนเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังทำผลงานได้ดีจนจบอันดับที่ 4 ของตารางจนได้ไปลงแข่งยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงต้องเตรียมทีมครั้งใหญ่หลังจากที่สามารถซื้อนักเตะเข้ามาเสริมได้แล้วในปีนี้จนทำให้เชลซีกลับมาน่ากลัวอีกครั้ง การเซ็นสัญญานักเตะราคาแพงอีกครั้ง เป็นที่รู้กันในตลาดซื้อขายนักเตะว่าเชลซีมักจะซื้อนักเตะราคาแพงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นานโด ตอเรสจากลิเวอร์พูล อาวาโร่ โมราต้ากองหน้าจอมโหม่งจากรีลมาดริดหรือผู้รักษาประตูจอมดื้ออย่างเกป้า อาร์ริซาบาลาก้าที่มีค่าตัวสูงถึง 80 ล้านยูโรเลยทีเดียว ในฤดูกาล 2020 ก็เช่นกันทันทีที่แฟรงค์ แลมพ์พาร์ดมีโอกาสเลือกนักเตะคนใหม่เข้ามา เขาจึงได้ซื้อกองกลางตัวเก่งจากอาแจ๊ก อาร์มสเตอร์ดัมอย่างฮาคิม ซิเยกด้วยราคากว่า 33 ล้านปอนด์ อีกทั้งกองหน้าอย่างทิโม แวร์เนอร์ที่คู่แข่งอย่างลิเวอร์พูลหมายปองมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งเป็นสิงห์ไฮโซที่เดินเกมได้เร็วกว่าและปิดดีลของกองหน้าตัวความหวังของแอแบร์ ไลป์ซิกไปได้ในราคาสูงถึง 47.5 ล้านปอนด์เลยทีเดียว ก่อนที่เชลซีจะทำลายสถิติในตลาดซื้อขายครั้งนี้ของตัวเองด้วยการซื้อตัวอนาคตวัย 21 ปีอย่างไค ฮาร์เวิร์ตกองกลางจากไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่นไปด้วยราคา 70 ล้านปอนด์ในช่วงต้นเดือนกันยายน การเซ็นสัญญานักเตะไร้ค่าตัว นอกจากเชลซีจะสามารถซื้อนักเตะราคาสูงได้แล้วนั้น พวกเขายังไม่พลาดที่จะเจรจากับนักเตะไร้สังกัดอีกด้วย โดยนักเตะคนแรกที่พวกเขาได้มาแบบฟรี ๆ ก็คือกองหลังมากประสบการณ์อย่างธิเอโก้ ซิลวาจากศิษย์เก่าจากสโมสรปารีส …

เรื่องที่แม้แต่พระเจ้ายังต้องพ่ายแพ้ของอิมบราฮิโมวิ

ขึ้นชื่อว่าเป็นสุดยอดนักเตะอีกคนหนึ่งของวงการ กองหน้าทีมชาติสวีเดนอย่างซลาตัน อิบราฮิโมวิชมักจะมีประวัติและอาชีพค้าแข้งที่ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะการประสบความสำเร็จในทุกสโมสรที่เขาได้ไปลงเล่นให้ไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศสเปน เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ อิตาลีและแม้แต่ในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีรูปแบบการแข่งขันแตกต่างจากยุโรป ซึ่งซลาตันมักจะมีรางวัลต่าง ๆ ประดับตัวเสมอ แต่ทว่าตลอดอาชีพค้าแข้งของเขากลับมีหนึ่งรายการเขาไม่เคยได้สัมผัสเลยสักครั้ง จนเรียกได้ว่ามันคือหลุมดำในอาชีพค้าแข้งของเขานั่นเอง ความสำเร็จกับทุกสโมสร       ฉายาพระเจ้าของเขาถือว่าไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยหลังจากที่อิบราฮิโมวิชได้เริ่มลงเล่นกับอาแจ๊กซ์ อาร์มสเตอร์ดัมก่อนที่จะคว้าแชมป์ลีกได้ถึง 2 สมัยจากการลงเล่นที่นั่นเพียง 4  ปีโดยทำประตูได้ถึง 48 ลูกด้วยกัน จากผลงานที่ร้อนแรงนี่เองทำให้ยักษ์ใหญ่จากอิตาลีอย่างยูเวนตุสซื้อเขาไปร่วมทีมในราคา 16 ล้านยูโรก่อนจะตอบแทนทีมด้วยการพาเจ้าม้าลายเป็นแชมป์ลีกถึงสองปีซ้อน แต่หลังจากมีเหตุการณ์คอร์รัปชั่นของยูเวนตุสทำให้เขาได้แยกทางกับทีมไปอยู่อินเตอร์ มิลานแทน ซึ่งนั่นเป็นยุครุ่งเรืองของอินเตอร์ที่กลายเป็นผู้นำในลีกแทนพร้อมกับคว้าแชมป์กัลโช่ ซีรีย์อาได้อีก 3 สมัย ก่อนจะออกไปร่วมทีมในฝันของเขาอย่างบาร์เซโลน่าและคว้าแชมป์ลาลีกาได้อีกสมัย และไปเป็นกำลังสำคัญให้กับปารีส แซงต์แชร์แมงในเวลาต่อมา หลุมดำของชีวิตค้าแข้ง แม้ว่าอิบราฮิโมวิชจะพาสโมสรคว้าแชมป์ลีกสูงสุดและแชมป์ถ้วยภายในประเทศมานับไม่ถ้วน แต่ทว่าสิ่งที่เขาไม่เคยสัมผัสเลยก็คือแชมป์ถ้วยใหญ่อย่างยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีกนั่นเอง โดยเขามีโอกาสมากมายไม่ว่าจะเป็นสมัยอยู่กับอินเตอร์ มิลานที่พวกเขาทำได้เพียงเข้ารอบ 16  ทีมสุดท้ายก่อนจะพ่ายแพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในปี 2009 หรือจะเป็นการตกรอบด้วยทีมเก่าของเขาในช่วงที่เขาเพิ่งย้ายมาอยู่ทีมบาร์เซโลน่าในรอบรองชนะเลิศ อีกทั้งการลงเล่นให้กับปารีส แชงต์แชร์แมงที่เขาไม่เคยไปถึงรอบชิงชนะเลิศเลยสักครั้งในตลอดเวลา 4  ปีกับสโมสรแห่งนี้ นอกจากรายการแชมป์เปี้ยนส์ลีกแล้ว อีกหนึ่งหลุมดำของชีวิตเขาก็คือการไม่ประสบความสำเร็จในนามทีมชาติสวีเดนเลย แม้ว่าในทีมของเขาจะมีนักเตะดี ๆ อย่างเฟรดดี้ ลุงเบิร์กหรือเฮนริก ลาร์สันก็ตาม …

การล่มสลายและเกิดใหม่ของวิมเบิลดัน

สำหรับแฟน ๆ พรีเมียร์ลีกรุ่นเก่าคงต้องรู้จักกับชื่อของทีมจอมโหดอย่างวิมเบิลดันอยู่แล้ว ด้วยสไตล์การลงเล่นที่เน้นการปะทะและลูกกลางอากาศจนทำให้ทีมมีแฟนบอลคอยติดตามอย่างเหนียวแน่น และเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในฮูลิแกนของวงการฟุตบอลอังกฤษเลยทีเดียว แต่ทว่าจากการตกชั้นของทีมและการย้ายเมืองของสโมสรทำให้ทีมจอมโหดได้แตกเป็นสองทีมด้วยกันอย่างเอ็มเค ดอนส์และเอเอฟซี วิมเบิลดัน แต่ทั้งสองยังคงพยายามรักษาความเป็นทีมเดิมอยู่และยังคงเป็นคู่รักคู่แค้นในลีกรองของอังกฤษจนถึงทุกวันนี้ ยุครุ่งเรืองของทีมจอมโหด ผลงานในช่วงกลางยุค 90 ของวิมเบิลดันถือว่าไม่ธรรมดา นอกจากที่พวกเขาจะเป็นสโมสรที่เคยมีนักเตะชื่อดังอย่างนีล ซูลิแวน, คาร์ล คอร์ดและวินนี่ โจนส์ที่เป็นกองกลางจอมโหดชื่อดังและเข้าวงการบันเทิงในเวลาต่อมา ตลอด 14 ปีที่พวกเขาอยู่ในลีกสูงสุดของอังกฤษนับตั้งแต่สมัยยังเป็นชื่อลีกวัน พวกเขาสามารถทำผลงานได้ดีในฟุตบอลถ้วยเสมอ จากการเข้ารอบรองชนะเลิศเอฟเอคัพในปี 1996/1997 ที่พวกเขาสามารถเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปในรอบที่ 4 ก่อนจะปราบทั้งควีนส์ ปาร์ค เรนเจอร์และเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์จนไปพลาดท่าแพ้เชลซีในรอบ 4 ทีมสุดท้ายในที่สุด ส่วนในถ้วยเล็กอย่างลีกคัพปีเดียวกัน พวกเขาก็ไปไม่ถึงฝันหลังจากที่แพ้ทีมร่วมลีกอย่างเลสเตอร์ ซิตี้ไปด้วยกฎประตูทีมเยือนแบบน่าเสียดาย การตกชั้นและยุบทีมในที่สุด หลังจากการจากไปของผู้จัดการทีมเก่าแก่อย่างโจ คินเนียร์เนื่องจากปัญหาสุขภาพ ทำให้ทีมวิมเบิลดันเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง หลังที่ทีมแต่งตั้งเอจิล โอเซ่นและเทอร์รี่ เบอร์ตันมาคุมทีมแทนในช่วงปี 1999/2000 ทีมจอมโหดก็หมดเวลาที่จะอยู่ในลีกสูงสุดต่อไป โดยทำแต้มไปได้เพียง 33 แต้มและมีคะแนนน้อยกว่าทีมแบรดฟอร์ดเพียง 3 คะแนนทั้ง ๆ ที่มีลูกได้เสียดีกว่าอีกด้วย จบฤดูกาลในอันดับที่ 18 เท่านั้น …

เอฟเวอร์ตันทีมม้ามืด ภายใต้การคุมของคาร์โล อันเชลอตติ

ในฤดูกาล 2020/2021 ที่กำลังจะถึงในอนาคตอันใกล้นี้ ถือว่าเป็นปีที่ลีกฟุตบอลอังกฤษอย่างพรีเมียร์ลีกมีความน่าติดตามอย่างมาก หลังจากที่ทีมอย่างลิเวอร์พูลสามารถก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์ได้สำเร็จแบบลอยลม ทำให้ทีมอื่น ๆ ในลีกสูงสุดต่าง ต้องการจะก้าวขึ้นมาแย่งชิงความเป็นที่หนึ่งอย่างที่หงส์แดงเคยทำได้แม้จะใช้เวลากว่า 30 ปีก็ตาม นอกจากทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้อดีตแชมป์ 4 สมัยหรือเชลซีที่เสริมทัพอย่างเก็บกดและได้มาทั้งไค ฮาร์เวิร์ตและทีโม แวร์เนอร์สองดาวเด่นจากลีกเยอรมันบุนเดสลีกา แต่มีทีมม้ามืดอีกหนึ่งทีมที่อาจทำให้แฟนประหลาดใจรวมถึงมีโอกาสทำอันดับเบียดพื้นที่ด้านบนตารางได้ และพวกเขาคือทีมเอฟเวอร์ตันที่มีผู้จัดการทีมมากประสบการณ์อย่างคาร์โล อันเชลอตตินั่นเอง ประวัติที่ยอดเยี่ยมของอันเช่ อดีตผู้จัดการทีมใหญ่อย่างเอซี มิลานคนนี้เรียกได้ว่ามีอาชีพที่ประสบความสำเร็จทั้งสมัยเป็นนักเตะและผู้จัดการทีม เริ่มต้นในปี 1983 ที่เขาได้แชมป์กัลโช่ ซีรีย์อากับโรม่า ก่อนที่ย้ายไปทีมปีศาจแดงดำที่เป็นช่วงรุ่งเรืองที่สุดเนื่องจากเขาสามารถพาทีมได้แชมป์ลีกถึง 2 สมัยพร้อมกับแชมป์ยุโรปอีก 2 สมัยด้วยกัน หลังจากที่อันเช่ประกาศแขวนสตั๊ดในปี 1992 เขาก็ได้เลือกเส้นทางเป็นผู้จัดการทีมก่อนจะมาอยู่ทีมเก่าอย่างปาร์ม่าและเอซี มิลานอีกครั้ง โดยเฉพาะกับทีมหลังที่เขาคุมทีมนานถึง 8 ปีเต็ม ซึ่งเขาประสบความสำเร็จอย่างมากได้แชมป์สกูเน็ตโต้ 1 สมัยและยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกถึง 2 สมัยนับว่าเป็นคนที่ทีมเป็นแชมป์ในฐานะผู้เล่นและผู้จัดการเพียงไม่กี่คนในประวัติศาสตร์ที่ทำได้ ก่อนที่เขาจะเลือกเส้นทางไปคุมทีมเชลซีจนได้แชมป์พรีเมียร์ลีกและสโมสรรีล มาดริดที่ทำให้เขาได้แชมป์ถ้วยโตจากยุโรปอีกครั้งหนึ่ง การมาที่เอฟเวอร์ตัน หลังจากที่เขาใช้เวลาอยู่กับทีมบาเยิร์น มิวนิคเพียงหนึ่งปีเศษ อันเชลอตติก็ได้ย้ายข้ามฝั่งกลับไปอยู่กับสโมสรบ้านเกิดที่อิตาลีและกลายเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของนาโปลี แม้ว่าเขาจะสามารถพาทีมเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ก็ตาม แต่ประธานสโมสรอย่างออเรลิโอ …

โลกฟุตบอลที่โดนครอบงำด้วยไวรัสโควิด-19

ในปี 2020 ถือเป็นช่วงเวลาที่ไม่ธรรมดาของวงการฟุตบอล หลังจากที่ฤดูกาลต่าง ๆ ต้องถูกระงับไปไม่ว่าจะเป็นพรีเมียร์ลีก ลีกเอิงหรือลาลีกาสเปน จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จนส่งผลกระทบไปทั่วโลก ก่อนที่ฟุตบอลจะได้กลับมาแข่งขันใหม่อีกครั้งในสนามเปล่าที่ไม่มีแฟน ๆ เข้าชม หรือการแข่งขันรายการต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำของการแพร่ระบาด รวมไปถึงการงดซ้อมของนักเตะหรือการติดเชื้อไวรัสของพวกเขาเอง จนเรียกได้ว่าโควิด-19 ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกฟุตบอลอย่างไม่อยากหลีกเลี่ยงได้ การมาของโควิด–19 ในโลกฟุตบอล หลังจากที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เกิดขึ้นในประเทศจีนจนทำให้ทั่วโลกต้องเฝ้าจับตาดู ก่อนที่เรื่องของไวรัสจะเริ่มเป็นที่น่ากลัวในประเทศฝรั่งเศสที่มีนักฟุตบอลติดเชื้อเป็นจำนวนมาก เนื่องจากการแข่งขันในฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกและยูโรป้าลีกที่ทีมจากแต่ละประเทศจะต้องมาประชันฝีมือกัน จนกระทั่งนักเตะที่เพิ่งไปลงแข่งในฝรั่งเศสอย่างโคลัม ฮัตสัน โอดอยของสโมสรเชลซีจะติดเชื้อเป็นคนแรก ๆ ของพรีเมียร์ลีก และในที่สุดฟุตบอลทั่วทวีปยุโรป รวมถึงทั่วโลกจะต้องระงับการแข่งไปนานกว่า 3 เดือน จนในปัจจุบันยังคงมีนักเตะที่ติดเชื้อโควิดอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นคีเลี่ยน เอมปัปเป้และตำนานของฟุตบอลอังกฤษอย่างเดวิด แบคแฮมพร้อมครอบครัวที่ป่วยด้วยไวรัสอันตรายนี้อีกด้วย การปรับเปลี่ยนเพื่อไปต่อของฟุตบอล เมื่อมีการรักษาระยะห่างทางสังคมเข้ามาเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด ทางสมาคมฟุตบอลต่าง ๆ ก็พยายามหาทางให้ลีกฟุตบอลต่าง ๆ กลับมาแข่งต่อได้  โดยเป็นทางบุนเดสลีกาที่ประเทศเยอรมันมีการจัดการที่ดีกว่าและยอมให้จัดการแข่งขันในที่สุด แต่ทว่าต้องมีการตรวจเชื้อก่อนแข่งเสมอ และผู้เล่นต้องเลี่ยงการสัมผัสตัวรวมถึงใส่หน้ากากเมื่อไม่ได้ลงแข่งในสนามอีกด้วย ก่อนที่ยูฟ่าจะประกาศว่าการแข่งขันยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกจะจัดขึ้นในกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกสและแข่งขันแบบนัดเดียวจบเพื่อการประหยัดเวลา รวมถึงลงแข่งในจำนวนนัดที่น้อยที่สุดเพื่อหาเจ้ายุโรป รวมถึงยูโรป้าลีกที่ได้จัดขึ้นในประเทศเยอรมันที่พิสูจน์ตัวเองว่าสามารถจัดการแข่งขันในลีกได้เป็นที่เรียบร้อยนั่นเอง นอกจากนี้ทางฝั่งเอเชียอย่างประเทศญี่ปุ่นที่แม้จะต้องเลื่อนการจัดงานโอลิมปิกไปอย่างน่าเสียดาย แต่ทว่าพวกเขามีการรักษาระยะทางสังคมได้ดีจนกระทั่งอนุญาติให้การแข่งขันเจลีกสามารถมีแฟนบอลเข้าชมในสนามได้อีกด้วย …

ย้อนหลังสาเหตุการทำแชมป์ลื่นหลุดของลิเวอร์พูลในปี 2013/2014

ว่ากันว่าความสำเร็จมักจะต้องรอนานเสมอ และไม่มีใครจดจำผู้เป็นที่สองได้ แต่นั่นใช้ไม่ได้กับทีมลิเวอร์พูลภายใต้การนำทีมของเบรนเดน รอดเจอร์สที่ใช้ระบบการเล่นต่อบอลสวยงามและทำเกมรุกที่เฉียบคมจนทำให้ทีมสามารถทำประตูไปได้มากถึง 101 ลูกจากกองหน้าสามประสานของทีม แต่ถึงแม้พวกเขาจะมีสถิติเกมรุกที่ดีเยี่ยมก็ตาม แต่สุดท้ายพวกเขากลับเป็นได้แค่รองแชมป์อย่างน่าเจ็บใจ รวมทั้งพวกเขายังคงเป็นที่พูดถึงจากบรรดาแฟนบอลทีมอื่นจากเหตุการณ์ที่หงส์แดงเจอกับเชลซีช่วงท้ายฤดูกาล จนเป็นบาดแผลครั้งใหญ่ที่ต้องใช้เวลาอีก 6 ปีเพื่อลืมความฝันร้ายครั้งนี้เลยทีเดียว การก่อกำเนิดเกมรุกที่ยอดเยี่ยม ด้วยความที่รอดเจอร์สเป็นผู้จัดการที่เน้นเกมบุกเป็นหลัก ตั้งแต่สมัยที่เขายังอยู่กับหงส์ขาวสวอนซีจากเวลส์ โดยรูปแบบการเล่นของเขาถือว่าใกล้เคียงกับตีกี-ตากาของเป็ป กวาดิโอล่าเลยทีเดียว จากการต่อบอลที่แม่นยำภายใต้การคุมเกมของสตีเฟ่น เจอร์ราดและฟิลิเป้ คูตินโญ่จากแดนกลางนี่เองที่ส่งต่อให้กองหน้าอย่างหลุยส์ ซัวเรซและเดเนียล สเตอร์ริดจ์สามารถทำประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำรวมถึงดางรุ่งอย่างราฮีม สเตียร์ลิ่งที่ทำประตูได้ถึง 10 ประตูด้วย รวมถึงแถวสองอย่างโฆเซ่ เอนริเก้และเกล็น จอห์นสันที่พร้อมจะเป็นไม้ตายลับให้กับทีมเสมอ สองนัดกับ 5 คะแนนที่หายไป แม้ว่าลิเวอร์พูลจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอยู่อันดับ 2 ในตาราง แต่ทว่าในช่วงท้ายฤดูกาล 2013/2014 พวกเขาเริ่มมีแรงฮึดขึ้นมา ก่อนที่จะเปิดบ้านเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ทีมอันดับหนึ่งในขณะนั้นด้วยสกอร์ 3-2 จนกลายเป็นจ่าฝูงแทนและพวกเขามีแต้มเหนือทีมเรือใบสีฟ้าถึง 4 แต้ม และเหลือเกมให้เล่นเพียง 4 เกมเท่านั้น แต่ทว่าจุดหักเหของทีมหงส์แดงก็เกิดขึ้นเมื่อจังหวะเติมขึ้นสูงของทีมในเกมเชลซีและจังหวะที่ผิดพลาดของสตีเฟ่น เจอร์ราดจับบอลพลาดจนเดมบ้า บากองหน้าของเชลซีตัดบอลเข้าไปทำประตู ก่อนที่พวกเขาจะแพ้ไปในสกอร์ 2-0 แม้ว่าพวกเขาจะยังสามารถเป็นจ่าฝูงหลังการพ่ายแพ้ก็ตาม แต่ด้วยความกดดันที่พวกเขาต้องการทำประตูให้เยอะที่สุด จึงทำให้พวกเขาพลาดโดนคริสตัล พาเลซตีเสมอในสกอร์ …

สูตรสำเร็จของคริสเตียโน่ โรนัลโด้กับการฝึกซ้อมที่เข้มงวด

ถ้าหากพูดถึงนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกชื่อของคริสเตียโน่ โรนัลโด้กองหน้าคนสำคัญของสโมสรม้าลายยูเวนตุสจะต้องโผล่ขึ้นมาเป็นคนแรกๆ ของแฟนบอลอย่างแน่นอน ซึ่งทางโรนัลโด้มีชื่อเสียงจากการเป็นนักเตะที่มีความฟิตอยู่เสมอ แม้ว่าเขาจะมีอายุ 35 ปีแล้วก็ตาม แต่ด้วยวินัยและความขยันฝึกซ้อมของเขานั่นเอง จึงเป็นจุดเด่นให้ซีอาร์ 9 สามารถรักษามาตรฐานของตัวเองไว้เสมอ อีกทั้งจิตวิญญาณของผู้ชนะเลยทำให้เขาเป็นนักเตะที่ขยันฝึกซ้อมมากที่สุดคนหนึ่งในโลกเลยทีเดียว ซึ่งพิสูจน์แล้วผ่านคำพูดของเพื่อนนักเตะและกุนซือที่เคยร่วมทีมกับเขา คำชมจากเพื่อนนักเตะ ตัวอย่างที่บ่งบอกว่าคนอย่างคริสเตียโน่ โรนัลโด้เป็นคนขยันฝึกซ้อมที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยมีมาก็คงไม่พ้นคำพูดของพาทริด เอฟร่าอดีตกองหลังฝั่งซ้ายของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ร่วมทีมกับโรนัลโด้สมัยยังเล่นในพรีเมียร์ลีก โดยเขาได้พูดถึงเหตุการณ์ที่ริโอ เฟอร์ดินานด์กองหลังตัวแกร่งของทีมสามารถเอาชนะโรนัลโด้ในการเล่นปิงปองไปได้ ทว่าคนอย่างซีอาร์ 9 ไม่เคยหยุดเพียงแค่นั้น เพราะเขาลงทุนซื้อโต๊ะปิงปองไว้ในบ้านแล้วฝึกอย่างหนักถึงสองสัปดาห์ก่อนที่จะกลับมาเอาชนะริโอได้ในที่สุด นอกจากเรื่องปิงปองแล้ว คริสเตียโน่มักจะถูกเพื่อนร่วมทีมพูดถึงในแง่ดีเสมอว่าเขาเป็นคนขยันซ้อมเป็นอย่างมาก โดยมักจะมาที่สนามก่อนเวลาหลายชั่วโมงเพื่อเริ่มต้นฝึกซ้อมก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยิงฟรีคิกที่เป็นเครื่องหมายการค้าของเขาสามารถอยู่กับปีศาจแดงที่เขาฝึกการยิงจนมีเทคนิคพิเศษและสามารถทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำในปี 2009/2010 คำชมจากผู้จัดการทีม ขึ้นชื่อว่าเป็นเซอร์อเล็ก เฟอร์กูสันแล้วเขาย่อมมีการฝึกบางอย่างที่พิเศษกว่าคนอื่นเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคริสเตียโน่ โรนัลโด้ซึ่งเขานำมาปลุกปั้นตั้งแต่อายุ 18 เท่านั้น นอกจากเขาจะยกย่องว่านักเตะชาวโปรตุเกสนี้จะมีพรสวรรค์ที่สุดคนหนึ่งที่เขาเคยร่วมงานมา โดยการฝึกพิเศษหรือการรับน้องที่ยอกโค้ชคนนี้มีก็คือการให้นักเตะตัวตัดเกมอย่างรอย คีนและริโอ เฟอร์ดินานด์สามารถเล่นงานเขาในสนามได้เลย เพื่อให้เขาไม่ทำตัวอ่อนแอจนเกินไปในสนาม แม้ว่าช่วงเริ่มแรกเขาจะไม่พอใจกับการฝึกแบบนี้นัก แต่สุดท้ายโรนัลโด้ก็เข้าใจได้ว่า เขาต้องทำตัวอย่างไรในสนามจริงซึ่งคู่แข่งในพรีเมียร์ลีกมักจะเล่นงานนักเตะตัวรุกอย่างรุนแรงเสมอ ก่อนที่เขาจะเริ่มระเบิดฟอร์มร้อนแรงจนเข้าตาทีมรีล มาดริดที่มาขอซื้อตัวปีกตัวเก่งในเวลาต่อมา จะเห็นได้ว่าความสามารถของโรนัลโด้ไม่ได้มาเพียงเพราะโชคช่วยเท่านั้น แต่เป็นเพราะความพยายามอย่างหนักของเจ้าตัวนั่นเอง ทำให้เขามีอาชีพที่ประสบความสำเร็จและยังสามารถรักษาร่างกายไว้อย่างดีแม้ว่าจะเล่นฟุตบอลมากว่า 20 ปีแล้วก็ตาม เครดิตภาพ : https://pixabay.com/photos/christian-juve-football-ronaldo-4944506/

ความพ่ายแพ้ของบาร์เซโลน่า ฤดูกาล 2019 ที่น่าผิดหวัง

สำหรับชาวคาตาลันแล้ว ฤดูกาล 2019/2020 ถือเป็นช่วงที่พวกเขาคงรู้สึกผิดหวังกับทีมรักอย่างบาร์เซโลน่าเป็นที่สุด หลังจากที่สโมสรเจ้าของฉายาเจ้าบุญทุ่มไม่สามารถคว้าถ้วยรางวัลใด ๆ มาประดับตู้ได้เลย ภายใต้การนำทีมของเออร์เนสโต้ บัลเบอร์เด้และกีเก้ เซเตียนที่ไม่ประสบความสำเร็จจนมีข่าวลือออกมาว่านักเตะชื่อดังหลายคนไม่พอใจกับการบริหารทีม ก่อนจะต้องการออกไปจากรังคัมนูนี้อย่างถาวร ไม่เว้นแม้แต่ลีโอเนล เมสซี่นักเตะลูกหม้อของทีมที่ไม่พอใจในตัวประธานอย่างโจเซป บาร์โตเมวอย่างมาก และอาจไม่อยู่กับสโมสรต่อไปจนจบอาชีพเหมือนกับตำนานคนอื่น ๆ ก่อนหน้าเขา ผลงานในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกที่ไม่ถึงฝัน แม้ว่าบาร์เซโลน่าจะมีช่วงผลงานที่ดีในรายการใหญ่ที่สุดในยุโรปอย่างยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกในช่วงที่พวกเขามีกุนซืออย่างเป็ป กวาดิโอล่าเป็นผู้นำในปี 2008 ถึง 2012 แต่หลังจากนั้นบาร์ซ่ากลับไปไม่ถึงฝั่งฝันอยู่บ่อยครั้ง และมักจะพลาดท่าที่รอบรองชนะเลิศเสมอ ทางด้านฤดูกาลที่ผ่านมาพวกเขาสามารถเป็นผู้นำในรอบแบ่งกลุ่มได้เหนือทีมอย่างโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ อินเตอร์มิลานและสลาเวีย ปรากไปได้ ก่อนที่บาร์เซโลน่าจะไปเจอกับนาโปลีและเอาชนะไปได้แบบไม่ยากเย็นนัก ทว่าในรอบ 8 ทีมสุดท้ายพวกเขาต้องไปเจอของแข็งอย่างเสือใต้บาเยิร์น มิวนิค ก่อนที่พวกเขาจะพ่ายแพ้ไปแบบหมดรูปในสกอร์ 8-2 นับว่าเป็นการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์รายการนี้เลยทีเดียว การถูกแซงหน้าโดยคู่แข่งตลอดกาล หลังจากที่สามารถครองอันดับหนึ่งมาได้ตลอดก่อนที่ฤดูกาลจะดูระงับไปชั่วคราวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนกระทั่งทางลาลีกาจะกลับมาแข่งขันอีกครั้ง แต่บาร์เซโลน่ากลับพลาดท่าทำคะแนนหกไปหลายเกม ไม่ว่าจะเป็นการเสมอกับเซบีย่าไปแบบไร้สกอร์ ก่อนที่จะพลาดเสมอกับเซลต้า บีโก้อีกครั้งในเกมที่ 2 ประตูของหลุยส์ ซัวเรซไม่เพียงพอต่อการคว้าสามคะแนน จนกระทั่งในแมตช์รองสุดท้ายของลีกที่พวกเขาแพ้คาบ้านให้แก่โอซาซูน่าจนเปิดทางให้รีล มาดริดที่เอาชนะบียารีลไปได้ 2-1 คว้าแชมป์ลีกไปได้เป็นครั้งที่ 34 ของสโมสร …